วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วันพ่อ



ภาพจาก Boonsom / Shutterstock.com  

 ภาพจาก  LightMemoryStockPhoto / Shutterstock.com 

          วันพ่อแห่งชาติ มาอ่านประวัติความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติในประเทศไทยและทั่วโลกกัน

          เราทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าวันที่ 5 ธันวาคม นั้นเป็น  "วันพ่อแห่งชาติ" โดยทางราชการได้กำหนดให้วันพ่อแห่งชาติ เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน
 แต่รู้กันหรือไม่ว่า "วันพ่อแห่งชาติ" ของแต่ละประเทศตรงกับวันไหน และ วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศไทยมีที่มาอย่างไร กระปุกดอทคอม จะพาไปรู้จักเรื่องราวของ "วันพ่อแห่งชาติ" กันค่ะ

ประวัติ วันพ่อแห่งชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ ในทั่วโลก
          วันพ่อแห่งชาติ ถือเป็นวันสำคัญที่ฉลองถึงความเป็นพ่อ และบุคคลที่นับถือเยี่ยงพ่อ โดย จอห์น บี. ดอดด์ ชาวอเมริกัน เป็นผู้ที่ริเริ่มแนวคิด วันพ่อแห่งชาติ โดยงาน วันพ่อแห่งชาติ ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2461 ในโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองแฟร์มอนต์ รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

          ก่อนที่แนวคิดวันพ่อแห่งชาติ ของจอห์น บี. ดอดด์ จะถูกเผยแพร่ไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยวันพ่อแห่งชาติของแต่ละประเทศจะกำหนดวัน และจัดงานแตกต่างกันไป เช่น

          วันที่ 19 มีนาคม เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศสเปน โปรตุเกส อิตาลี

          วันที่ 8 พฤษภาคม เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศเกาหลีใต้

          วันที่ 5 มิถุนายน เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศเดนมาร์ก

          วันอาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศญี่ปุ่น อาร์เจนตินา ไอร์แลนด์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร

          วันที่ 23 มิถุนายน เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศโปแลนด์

          วันอาทิตย์ที่สองของเดือนสิงหาคม เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศบราซิล

          วันอาทิตย์แรกของเดือนกันยายน เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

          วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศฟินแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์

          วันที่ 5 ธันวาคม เป็น วันพ่อแห่งชาติ ของประเทศไทย

ภาพจาก Coffee Lover / Shutterstock.com 

วันพ่อแห่งชาติ ในประเทศไทย
        สำหรับวันพ่อแห่งชาติของประเทศไทย ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2470 และยังได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษา เป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ

          ทั้งนี้ นอกจากวันที่ 5 ธันวาคม จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" แล้ว ยังถือว่าวันนี้เป็น "วันชาติของไทย" อีกด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยมีการกำหนดวันชาติให้เป็นวันที่ 24 มิถุนายน เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยได้มีการเฉลิมฉลองวันชาติครั้งแรกในปี พ.ศ. 2482 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ 

          ซึ่ง "วันชาติ" ของไทยนั้นอยู่มานานถึง 21 ปี จนวันที่ 21 พฤษภาคม 2503 ในสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยเหตุที่เปลี่ยนเพราะมีข้อไม่เหมาะสมหลายประการ คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่าเพื่อให้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นหลักการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน 

          จึงควรถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยยกเลิกวันชาติ ในวันที่ 24 มิถุนายนเสีย ดังนั้นนับแต่ปี 2503 ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น "วันชาติ" ของไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   

 
 
ภาพจาก ARZTSAMUI / Shutterstock.com 

ที่มาของ วันพ่อแห่งชาติ ในประเทศไทย

          วันพ่อแห่งชาติ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มจัดงานวันพ่อแห่งชาติ เนื่องจาก "พ่อ" คือผู้ที่ควรได้รับการเทิดทูน และยกย่อง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา และทรงทะนุบำรุงพระราชโอรส และพระราชธิดาด้วยความรัก ทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนเพื่อให้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท

           นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พสกนิกรถ้วนหน้า

ลอดช่องสิงคโปร์

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวพันทิพทุกท่าน
ลอดช่องที่นัท ชอบมีอยู่ 2 ร้านค่ะ 1.คือลอดช่องวัดเจษ 2.ลอดช่องที่สวนจตุจักร ลอดช่องนัทเคยทำหลายครั้งแล้วค่ะ มีทั้งอร่อยและไม่อร่อย แต่สูตรนี้การันตีความอร่อย อิอิ ไปลงมือทำกันเลยคร่า

ตัวน้ำกะทิ

ส่วนผสม
1. หัวกะทิ 500 มล.
2. น้ำตาลปิ๊บ 500 กรัม
3. เกลือ1/2 ช้อนชา
4. เทียนสำหรับอบน้ำกะทิ

ตัวลอดช่อง
ส่วนผสม
1.  แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม 
2.  แป้งมัน 25 กรัม 
3.  ใบเตย 50 ใบ 
4.  น้ำปูนใส 2 ลิตร 
5.  วิธีการทำน้ำปูนใส ปูน 15 กรัม / น้ำ 3 ลิตร แช่ไว้ 1 อาทิตย์ค่ะ ( ที่แช่ไว้นานเพราะจะทำให้ไม่มีกลิ่นของปูนค่ะ) แต่ตักมาใช้แค่ 2 ลิตร

เริ่มจากเตรียมมะพร้าวแก่ นัทเคยใช้กะทิกล่องและกะทิที่เขาขูดที่ตลาดแล้ว อร่อยสู้กะทิขูดเองใหม่ๆไม่ได้ค่ะ


จากนั้นนำไปขูด จริงๆจะถ่ายรูปตอนนัทขูดมะพร้าวแล้ว แบบว่าเกรงใจ ฮ่าฮ่าฮ่า


จากนั้นนำมะพร้าวไปนึ่งซัก15นาที


จากนั้นนำไปเข้าเครื่องปั่นเพื่อให้การคั้นมะพร้าวง่ายขึ้น  ถ้าปั่นไม่ได้แนะนำให้เติมน้ำต้มสุกแบบอุ่นๆลงไปแค่พอปั่นได้ค่ะ 


แล้วนำมาเทเพื่อกรองกากออก


แล้วก็บีบให้น้ำกะทิออกมา


เมื่อเราได้น้ำกะทิแล้วให้ใส่น้ำตาลปิ๊บและเกลือลงแล้วเปิดไฟอ่อนสุด


คนให้น้ำตาลละลายและกะทิแค่เดือดปุดๆเอาเป็นว่าใช้ได้ เมื่อน้ำกะทิเย็นนำไปกรองอีกครั้งหนึ่ง


จากนั้นนำไปอบควันเทียนเพื่อเพิ่มความหอม 


เมื่อน้ำกะทิเสร็จแล้วก็พักไว้ก่อน ต่อมาก็มาทำตัวลอดช่องกันค่ะ เริ่มจากนำใบเตยกับน้ำปูนใสเข้าเครื่องปั่น


จากนั้นนำไปกรอง เพื่อเอากากออก แล้วผสมแป้งลงไปคนให้ละลายและนำไปกรองอีกรอบหนึ่งค่ะ


เราก็คนไปเรื่อยๆ รูปนี้กวนไป 15นาที


กวนไป1ชั่วโมง 10 นาที  นัทชอบเส้นความเหนียวประมาณนี้เพราะเคยทำก่อนหน้านี้แล้ว กวนจนเหนียวไปเส้นจะแข็งนิดๆ


จากนั้นนำลอดช่องไปกด ลงสู่น้ำเย็นจัด จริงๆไม่ต้องมีที่กดแบบนัทก็ได้ค่ะ อาจใช้กระป๋องนมแล้วหาตะปูเจาะรูก็ได้ เพราะสูตรนี้เส้นนิ่มอร่อย เส้นจะไหลลงมาเองเลยค่ะแบบว่าไม่ต้องกด


พร้อมเสริฟ เส้นไม่ค่อยสวยแต่อร่อยมากนะคะ อิอิ


รูปนี้ตอนนัททำครั้งก่อน เส้นแข็งไปนิดหนึ่งแต่น้ำกะทิอร่อยค่ะ


จบการรีวิวลอดช่องไว้เพียงแค่นี้ เพื่อนๆลองทำกันดูนะคะ  นัทรับรองว่าอร่อยมาก

ขนมชั้น

ขนมชั้นใบเตย ขนมไทยสีสันสดใส เนื้อเหนียวนุ่ม

    ขนมชั้น เป็นขนมไทยอีกหนึ่งอย่างที่นิยม กินเป็นอย่างมาก เพราะหาซื้อได้ง่าย ๆ มีเนื้อที่เหนียวนุ่ม รสชาติหวานละมุน หอมกลิ่นใบเตยน่าลองทำเองจริง ๆ  


หมายเหตุ : ขนมชั้น 1 ชิ้น ให้พลังงานประมาณ 92 กิโลแคลอรี่

ส่วนผสม ขนมชั้น

          • น้ำตาลทราย 2 1/2  ถ้วย
          • น้ำกะทิ 4  ถ้วย
          • แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
          • แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย
          • แป้งท้าวยายม่อม 1 1/2  ถ้วย (หรือแป้งถั่วเขียว)
          • น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/2 ถ้วย
          • น้ำหอมกลิ่นมะลิผสมน้ำ 1/2 ถ้วย
          • ถาดหรือพิมพ์สี่เหลี่ยมสำหรับนึ่งขนม (ขนาด 10x10 นิ้ว หรือ 8x8 นิ้ว)

วิธีทำขนมชั้น

ขนมชั้น

          ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงในหม้อ คนผสมให้เข้ากันแล้วนำขึ้นตั้งไฟปานกลางประมาณ 5 นาที จนน้ำตาลทรายละลาย (ไม่ต้องรอให้เดือด) ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น

          นึ่งถาดหรือพิมพ์ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด ประมาณ 15 นาที เตรียมไว้


ขนมชั้น

          ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งท้าวยายม่อมเข้าด้วยกัน ค่อย ๆ เทส่วนผสมน้ำกะทิลงไป ใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นวดประมาณ 15 นาที จนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรง

ขนมชั้น

          แบ่งแป้งเป็น 2 ถ้วย โดยถ้วยที่ 1 ผสมกับน้ำใบเตย และถ้วยที่ 2 ผสมกับน้ำมะลิ คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้

ขนมชั้น

          ทำชั้นที่ 1 โดยเทส่วนผสมสีขาว (เทส่วนผสมทุกชั้นประมาณ 1/3 ถ้วย) ลงในพิมพ์ ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที เปิดฝา เทส่วนผสมสีเขียวลงไป ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที ทำซ้ำเช่นเดิม สลับชั้นกันจนหมดแป้ง จะได้ประมาณ 9-10 ชั้น โดยชั้นสุดท้าย ให้นึ่งประมาณ 7 นาที ยกออกจากชุดนึ่ง วางพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท (ประมาณ 3 ชั่วโมง) 

ขนมชั้น

          นำขนมออกจากถาด จุ่มมีดลงในน้ำร้อน กดลงบนขนมเป็นชิ้น ๆ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

วันปีใหม่

ประวัติ

วันปีใหม่มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนทุก 4 ปี
ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน
เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน
วันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกพอดี เรียกว่า วสันตวิษุวัต
แต่ในปี ค.ศ. 1582 (เทียบเท่า พ.ศ. 2125) วสันตวิษุวัติ กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1582 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะปีดังกล่าว) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรโกเรียน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

วันขึ้นปีใหม่ในปฏิทินอื่น ๆ

พังงา

หมู่เกาะแสนสวยกับทะเลแสนใส


แน่นอนว่านี่คือจุดขายที่ทำให้จังหวัดพังงามีคนเข้ามาชมอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะสิมิลัน สุรินทร์ หรือตาชัย ล้วนแต่เป็นจุดหมายในฝันของผู้ที่ชื่นชอบทะเลทั้งสิ้น และไม่ใช่แค่กับชาวไทย แม้แต่ชาวต่างประเทศเองก็ยอมข้ามน้ำข้ามทะเลมานับพันไมล์เพื่อมาสัมผัสความสวยสุดยอดของที่นี่
IMG_1419 copy

มะเขือเทศ

มะเขือเทศ สรรพคุณและประโยชน์ของมะเขือเทศ 28 ข้อ !

มะเขือเทศ

ประโยชน์ของมะเขือเทศ

  1. ประโยชน์ของมะเขือเทศช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้าน
  2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรัยแห่งวัย
  3. น้ำมะเขือเทศช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
  4. ช่วยเสริมคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
  5. มีวิตามินเอซึ่งมีส่วนชวยบำรุงสายตา
  6. มะเขือเทศ มีเบตาแคโรทีนและฟอสฟอรัสในปริมาณมาก
  7. มะเขือเทศช่วยในการรักษาสิว ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้าหรือฝานบาง ๆ แล้วนำมาแปะหน้าก็ได้
  8. ช่วยทำให้ผิวหน้าเต่งตึงสดใส ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้าหรือฝานบาง ๆ แล้วนำมาแปะหน้าก็ได้
  9. มะเขือเทศใช้นำมาทำเป็นน้ำผลไม้ โดยน้ำผลไม้ที่ขึ้นชื่อก็คือน้ํามะเขือเทศดอยคํา
  10. เป็นที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัด ซุป ยำต่าง ๆ เป็นต้น
  11. ช่วยใหร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคหอบหืดได้มากถึง 45%
  12. ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
  13. ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน
  14. ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
  15. มะเขือเทศมีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ
  16. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  17. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
  18. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ การเกิดโรคหัวใจวาย สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
  19. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
  20. ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหารและช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวก
  21. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราหรือเชื้อราที่ปาก
  22. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
  23. ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% หากรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ
  24. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ในเพศหญิง
  25. ซอสมะเขือเทศหมักผม ด้วยการใช้มะเขือเทศหมักผมจะช่วยป้องกันการเปลี่ยนไปของสีผม อันเนื่องมาจากการว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีน
  26. ซอสมะเขือเทศนำมาใช้ขัดเครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของคุณให้เงางามเหมือนเดิมได้ ด้วยนำซอสมะเขือเทศมาถูแล้วล้างน้ำออก
  27. ซอสมะเขือเทศช่วยในการดับกลิ่นคาว เศษอาหาร กลิ่นปลาสลิดได้เหมือนกันนะ เพียงแค่เปิดฝาซอสทิ้งไว้ 1 คืนเท่านั้น
  28. ซอสมะเขือเทศช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังจากการหกล้มหรือถูกมีดบาดได้

มะเขือ

มะเขือพวง ประโยชน์ดี ๆ ช่วยลดเบาหวาน ผลาญไขมัน

มะเขือพวง

มะนาว

มะนาว สรรพคุณและประโยชน์ของมะนาว 75 ข้อ !

มะนาวกันดีกว่า

สรรพคุณของมะนาว

  1. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ
  2. ช่วยแก้อาเจียน เป็นลมวิงเวียนศีรษะ เมาเหล้าได้
  3. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ
  4. รู้หรือไม่ว่ามะนาวก็เป็นยาอายุวัฒนะและช่วยในการเจริญอาหารได้ด้วย
  5. แก้อาการวิงเวียนหลังคลอดบุตร
  6. แก้อาการลมเงียบ ด้วยการเอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอม
  7. แก้โรคตาแดง
  8. ใช้เป็นยาแก้ไข้ก็ได้เหมือกัน ด้วยการนำใบมาหั่นเป็นฝอย ๆ แล้วนำมาชงในน้ำเดือด ดื่มเป็นน้ำชาหรือใช้อมกลั้วคอเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค
  9. ใช้ในการแก้ไข้ทับระดู ด้วยการเอาใบมะนาวประมาณ 100 ใบมาต้มกิน
  10. สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันได้ เพราะในมะนาวมีวิตามินซีสูงมาก
  11. มะนาวช่วยในการขับเสมหะ
  12. ช่วยแก้ไอหรืออาการไอที่มีเลือดปนออกมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการลงได้ดีในระดับหนึ่ง
  13. ช่วยบรรเทาอาการต่อมทอนซิลอักเสบ
  14. ช่วยบรรเทาอาการเสียงแหบแห้ง
  15. ช่วยลดอาการเหงือกบวม
  16. ใช้เป็นยาบ้วนปาก ด้วยการใช้น้ำมะนาว 3-4 หยด ก็จะทำให้ช่องปากสะอาดมากยิ่งขึ้น
  17. ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
  18. ช่วยในการขจัดคราบบุหรี่
  19. แก้เล็บขบ ด้วยการนำมะนาวมาผ่าส่วนหัวแล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย แล้วใช้ปูนทาบาง ๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป
  20. ก้างติดคอ ให้นำน้ํามะนาว 1 ลูกมาคั้นแล้วเติมเกลือ ใส่น้ำตาลเล็กน้อยแล้วกรอกลงไปให้ตรงกับบริเวณที่ก้างติดคอ อมไว้สักครู่แล้วค่อย ๆ กลืน ก้างปลาจะอ่อนตัวลงแล้วหลุดลงไปในกระเพาะ
  21. ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง แน่นท้อง ด้วยการนำน้ำมะนาวมาใช้กินกับน้ำตาล
  22. แก้อาการท้องร่วงด้วยการดื่มน้ำมะนาว
  23. ช่วยการขับพยาธิไส้เดือนด้วยการดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว
มะนาว

องุ่น


องุ่น สรรพคุณและประโยชน์ขององุ่น 40 ข้อ ! (Grape)

องุ่น

องุ่น

องุ่น ชื่อสามัญ Grape, Grape vine[2]
องุ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Vitis vinifera L. จัดอยู่ในวงศ์องุ่น (VITACEAE)
องุ่น มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ผูเถา (จีนกลาง), ผู่ท้อ (จีนแต้จิ๋ว) เป็นต้น[1]

ลักษณะของต้นองุ่น

  • ต้นองุ่น จัดเป็นพรรณไม้เลื้อยจำพวกเถา มีความยาวได้ประมาณ 10 เมตร ทั้งต้นมีขนปกคลุม เถาอ่อนผิวเรียบ ตามข้อเถามีมือสำหรับยึดเกาะ และมีขนปกคลุมทั้งต้น ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด[1],[2],[3]
ไร่องุ่น
ต้นองุ่น
  • ใบองุ่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปกลมรี กลมรี หรือกลมรูปไข่ มีหยักคล้ายรูปฝ่ามือ หนึ่งใบจะมีรอยเว้าประมาณ 3-5 รอย ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเข้าหากันเป็นรูปหัวใจ ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย เนื้อใบบาง ใต้ใบมีขนปกคลุม ความยาวและความกว้างของใบมีขนาดพอ ๆ กัน คือกว้างยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ส่วนก้านใบนั้นยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร[1],[2]